บูเช็กเทียนฮ่องเต้...ก็เป็นเหมือนผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ทั่วไป คือมีคนห้อมล้อมเยอะ...
คนห้อมล้อมก็ต้องมีทั้งดีทั้งเลว...แต่หนึ่งที่นับว่าเลวสุดขั้ว ชั่วสุดขีด...ต้องยกให้ขุนนางไหล...
ไอ้ขุนนางไหลนี่แม่งชั่วครบเครื่อง...มีทั้งกินสินบาทคาดสินบน
ตัดสินคดีอะไรก็ขึ้นกับฝ่ายไหนวิ่งเต้นได้ถึงใจกว่ากัน...
คนดีๆก็ไปใส่ความเค้า
ถ้าไม่มีเงินมีทองมาทูนหัวทูนเกล้าให้...บางทีก็ทรมานให้คนบริสุทธิ์ยอมรับเขาสารภาพผิด...
ชั่วได้ใจจนถึงกับเขียนตำรา “ว่าด้วยการสร้างหลักฐาน”...สำหรับใส่ความคน...
แต่ด้วยความที่ไว้ใจ
บูเช็กเทียนก็เลยยังให้อำนาจแก่ขุนนางไหลนี้อยู่ โดยไม่รู้เลยว่าเลี้ยงเหี้ยไว้ใกล้ตัว...
จนมีขุนนางคนนึง
ถูกขุนนางไหลใส่ความ
แล้วก็ทรมานตนรับสารภาพในสิ่งที่ตนเองไม่ได้ทำ...
แต่ขุนนางคนนี้มีไหวพริบ...ขณะถูกขังรอประหาร ก็หาทางเขียนจดหมายเล็ดรอดอย่างยากลำบาก จนได้มาเข้าเฝ้าบูเช็กเทียนฮ่องเต้
ความจริงก็เปิดเผย...ฮ่องเต้ให้สืบสวนจนได้ความจริงว่า
ขุนนางไหลแม่งเลวไม่มีที่ชม...ก็ให้ลากไปประหาร...
ระหว่างทางที่ลากไปประหาร...ราษฏรที่เดือดร้อนก็ฮือเข้าสหบาทา แต่ไม่ได้มีแค่บาทา...จิกทึ้งข่วนควัก หน้าจมูกปาก ลูกตา ถูกฝ่ามือฝ่าตีนประชาชน ฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย...ถึงมือเพชฌฆาตก็เละเป็นโจ๊กไปแล้ว...
ฉากแบบนี้ นึกถึงตั๋งโต๊ะของสามก๊กเลย...
ขุนนางไหล...ไหลจุ้นเฉิน...ถือเป็นรอยด่างอันนึงในสมัยบูเช็กเทียนฮ่องเต้...
แต่ไม่ใช่ว่าในสมัยบูเช็กเทียน
จะมีแต่ขุนนางด่างๆเท่านนั้น...ขุนนางดีๆก็มี...เช่น ตี่เหยินเจี๋ย...หรือบางที่ก็เรียกว่า
ตี่เหรินเจี๋ย...น่าจะเป็นคนเดียวกับที่เค้าเอามาสร้างหนังล่ะมั้ง...
...แหมในหนังบางเวอร์ชั่น
ก็สร้างซะตี่เหยินเจี๋ยหนุ่มฟ้อ
บูเช็ก
เทียนก็สวยเช้งเชียว...ทั้งที่ในประวัติศาสตร์จริง...เหลาๆแล้วทั้งคู่...
เป็นขุนนางมาตั้งแต่สมัยถังเกาจงฮ่องเต้...ช่วยบูเช็กเทียนบริหารบ้านเมืองได้อย่างดี พระนางเองก็ให้ความเคารพตี่เหยินเจี๋ยเป็นพิเศษ...
เวลาเรียก
นางจะไม่เรียกชื่อตรงๆ
ดังเช่นผู้เหนือกว่ากระทำกับผู้น้อย
แต่จะเรียกอย่างให้เกียรติว่าท่านผู้เฒ่า...และได้สิทธิ์พิเศษ...แข้งขาไม่ค่อยดีแล้ว งั้นเข้าเฝ้าไม่ต้องคุกเข่าแล้วกัน...
ตี่เหยินเจี๋ยผู้นี้
ก็เป็นอีกคนที่เคยโดนพิษขุนนางไหล...ถูกใส่ความจนกระเด็น...เมื่อขุนนางไหลตายแล้ว
บูเช็กเทียนต้องเชิญตี่เหยินเจี๋ยกลับมารับนายกฯอีกรอบ...
ที่เล่ามานี่เป็นมุมของการปกครองบ้านเมืองและขุนนาง...
ในมุมส่วนตัว...ก็อย่างที่บอก
บูเช็กเทียนฮ่องเต้มองว่าสิทธิสตรีควรจะเท่ากับบุรุษ...
ฮ่องเต้ชายมี “อีหนูๆ”ได้...ทำไมชั้นจะมี “ไอ้หนูๆ” มั่งไม่ได้...
ก็เลยมี “ขันทีติดจรวด” คือไม่ได้ถูกตอนจริง อยู่ในวังของบูเช็กเทียน...
คนที่สำคัญคนแรกก็คือไหวอี้...เข้ามาเป็นคนโปรดของบูเช็กเทียนก็ตอนนางอายุเจ็ดสิบกว่าๆเข้าไปแล้ว
ไอ้คนนี้ออกแนวเกะกะระรานชาวบ้าน
ทำตัวเป็นนักเลงเรียกค่าคุ้มครอง...ชอบสาวคนไหนก็ฉุดไปข่มขืนแม่งดื้อๆ โดยถือเป็นคนโปรดของฮ่องเต้...
แต่ในที่สุดเรื่องก็ถึงหูบูเช็กเทียนจนได้...สอบสวนได้ความจริง...ก็หัวหลุดจบไป
ถัดมาเป็นคู่พี่น้องตระกูลจาง...คู่นี้เข้ามาตอนบูเช็กเทียนร่วมๆแปดสิบแล้ว...โห ป้าแกยังไฟแรงแฮะ...
ไอ้นี่มาแนวกำเริบเสิบสาน...แรกๆก็ปรนนิบัติส่วนพระองค์ ไปๆมาๆชักจะมีสุ้มมีเสียงช่วยว่าราชการด้วย...
จนฮ่องเต้ประชวร
นอนว่าราชการอยู่บนเตียง...คราวนี้จางพี่จางน้องแม่งเสียงดังเลย...
บูเช็กเทียนที่ชราแล้วก็...จางพี่น้องว่ายังไงก็ว่าไปตามนั้น...
ครม.ดูแล้วชักไม่ไหว...บ้านเมืองจะเลอะเทอะไปกันใหญ่...
ก็เลยไปเชิญลูกชายคนที่สาม...หลี่เซี่ยน...ที่เคยเป็นถังจงจงฮ่องเต้ที่ถูกปลดไป มาออกหน้า...ถึงเวลาทวงบัลลังก์คืนแล้ว
หลี่เซี่ยนนำกำลัง “ขอข้ำพบ” บูเช็กเทียนฮ่องเต้...
เจอจางสองพี่น้อง ไม่ต้องคุยกันล่ะ...จับตัดหัวตรงนั้นเลย...
ถึงบูเช็กเทียนจะทราบเรื่อง...แต่ด้วยวัยแปดสิบกว่าขวบ
ชราเต็มทีแล้วไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นต่อกรกับใครได้อีก...ก็ได้แต่ยอมและยกบัลลังก์มังกร
คืนให้กับหลี่เซียนในพระนามเดิม...ถังจงจงฮ่องเต้...
ส่วนบูเช็กเทียน...ฉากจบแบบนี้ถือได้ว่าเป็นซอฟท์แลนดิ้งที่สุด เท่าที่จะเป็นได้แล้ว...เพราะได้รับการแต่งตั้งเป็น
มหาราชินีบูเช็กเทียน...มีตำหนักใหญ่โตให้ใช้บั้นปลายชีวิตได้อย่างสงบ...จนจากโลกนี้ไปในวัยแปดสิบสามปี...
No comments:
Post a Comment